สร้อยที่หายไป
การสืบสวน สร้อยที่หายไป
ผู้เข้าชมรวม
1,429
ผู้เข้าชมเดือนนี้
4
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
สร้อยที่หายไป
ใน สามคดีที่ผ่านไปนั้นข้าพเจ้าได้เล่าให้ท่านฟังแล้วว่าคว้าน้ำเหลวอย่างไรบ้าง แม้สองคดีหลังจะมีเงื่อนงำอัญมณีที่เป็นตำนานอยู่บ้างแต่ก็เป็นแค่แสงไฟที่ริบหรี่ซึ่งข้าพเจ้ายังต้องงมหากันอีก ถึงอย่างไรก็ตามข้าพเจ้าต้องบอกว่างานนี้ทั้งข้าพเจ้าและปีเตอร์ต่างทุ่มเททุกอย่าง อย่างสุดความสามารถ หลายครั้งหลายคราปีเตอร์ต้องลำบากค้นหาคดีเกี่ยวกับอัญมณีให้กับข้าพเจ้าแต่ทว่าครั้งนี้ไม่ต้องลำบากปีเตอร์เลย เพราะคดีนี้มันส่งตรงมาถึงมือข้าพเจ้าอย่างไม่น่าเชื่อก็นับได้ว่าเป็นอะไรที่แปลกอยู่บ้าง ท่านคงเห็นว่าการที่จะหาคนรู้จักข้าพเจ้านั้นยากเต็มที แต่อยู่ๆวันหนึ่งมีโทรศัพท์ยิงตรงมาหาข้าพเจ้าอย่างเหลือเชื่อ ข้าพเจ้าสงสัยว่าใครกันโทรหาข้าพเจ้า ทั้งที่เบอร์โทรศัพท์ของข้าพเจ้าเป็นเบอร์ที่ออกจะพิเศษอยู่ จะว่าโทรผิดหรือ ก็คงไม่ใช่ ปกติแล้วมีแต่ปีเตอร์เท่านั้นที่ติดต่อข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าจึงอดที่จะรับสายไม่ได้
แล้วข้าพเจ้าก็ได้รับความกระจ่าง นั่นคือคนเดียวที่ข้าพเจ้าไว้ใจและยกเขาเป็นสหายข้าพเจ้า จะว่าไปเรื่องนี้ก็ยาวอยู่ แต่สรุปโดยสั้นแล้วเขาคือเพื่อนที่มหาวิทยาลัยที่ข้าพเจ้าเคยเรียน เขามีชื่อว่า บีม บีมเป็นคนสัญชาติไทยที่มาเรียนต่อที่ลอนดอน สมัยนั้นเขาเรียนวิชาการแพทย์ หลังจบแล้วข้าพเจ้าก็ได้แยกย้ายกับเขาและภายหลังทราบว่าเขากลับประเทศไทยไปเพื่อไปเกณฑ์ทหารตามหน้าที่ แต่บีมเป็นคนเด็ดเดี่ยวคนหนึ่งข้าพเจ้าเดาใจเขาออกว่าเขาคงไม่ชอบที่จะไปนั่งลุ้นว่าตนเองจะได้เป็นทหารหรือไม่หรอก ก็จริงดังว่าละเขาลงสมัครทหารเสียให้รู้แล้วรู้รอด เวลาผ่านไปเขาก็ปลดออกมาและล่าสุด เขาก็โทรศัพท์ติดต่อหาข้าพเจ้าดังว่า
ในครั้งนั้นเขาขอความช่วยเหลือจากข้าพเจ้าทางโทรศัพท์ เขาบอกกับข้าพเจ้าว่ามีคนติดต่อเขาอีกทีหนึ่งซึ่งก็บังเอิญเป็นเพื่อนเขานั่นละ เพื่อนสมัยเรียนอยู่มัธยมแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย ประเทศไทย
เพื่อนคนนั้นของเขาทราบและติดตามข่าวของเขามาพอสมควร ซึ่งข้าพเจ้าและหมอบีมก็ไม่ทราบได้ว่าทำไมเขาจึงรู้ เขาบอกกับหมอบีมว่าต้องการการช่วยเหลือบางอย่างจากเพื่อนของหมอบีม ตอนนั้นหมอบีมก็สงสัยว่าจากเพื่อนคนใด เขาบอกว่าได้ยินเรื่องที่หมอบีมมีเพื่อนเป็นนักสืบอยู่ต่างประเทศจึงใคร่ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนนักสืบคนนั้นหน่อย หมอบีมถึงกับตกใจไม่น้อยที่ได้ยินเช่นนั้น เพราะเขายืนยันได้ว่าไม่เคยเล่าเรื่องที่รู้จักกับข้าพเจ้าให้ใครฟังมาก่อนเลย เขาบอกให้หมอบีมพาข้าพเจ้าไปช่วยเหลือเขา ซึ่งเขาจะบอกรายละเอียดเมื่อเราไปถึง หมอบีมแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบมาเช่นนี้
ด้วยความฉงนสนเท่ห์นี้ข้าพเจ้าจึงนัดแนะกับหมอบีม ว่าข้าพเจ้าจะใช้ชื่อว่า อาร์ในระหว่างทำคดีนี้ หมอบีมก็ตกลงจึงเป็นอันว่าข้าพเจ้ารับที่จะไปตามนัดของเขาแล้ว
วันนั้นที่ประเทศไทย เป็นช่วงฤดูหนาว เดือนกุมภาพันธ์ พูดให้ชัดเจนคือ วันอาทิตย์ทิ่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๐๑๓ ข้าพเจ้าไปถึงเชียงรายพร้อมกับหมอบีมเราจัดแจงห้องพักที่โรงแรมในตัวเมืองก่อนหนึ่งคืน ความจริงแล้วการมาประเทศไทยของข้าพเจ้าครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ข้าพเจ้าอยากบอกว่าเป็นเรื่องบ่อยครั้งทีเดียวในการมาอยู่ที่ประเทศไทยเหมือนดังได้เห็นแล้วในคดีก่อนๆ และยิ่งไปกว่านั้นอีกข้าพเจ้าอยากจะบอกแก่ท่านให้ทราบว่าความจริง คดีก่อนหน้าที่ข้าพเจ้าเขียนให้ท่านอ่านนั้นอาจคิดว่าข้าพเจ้าต้องใช้ล่ามเพราะข้าพเจ้าไม่เข้าใจภาษาไทย แต่ความเป็นจริงนั่นปล่าวเลย เหล่านั้นเป็นแค่แผนลวงตาที่ข้าพเจ้าสร้างสถานการณ์ขึ้นเท่านั้น ข้าพเจ้าไม่ได้หวาดระแวงอะไรหรอกเพียงแต่มีความจำเป็นอะไรบางอย่างเท่านั้นเอง อันที่จริงข้าพเจ้าพูดได้มากกว่าสิบภาษาทั่วโลก โดยเฉพาะเอเชียนี้ข้าพเจ้าพูดได้สี่ภาษาคือ ไทย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ดังนั้นครั้งนี้ข้าพเจ้ามากับเพื่อนข้าพเจ้าจึงทำตัวสบายๆ ถือว่าเป็นการผักผ่อนของข้าพเจ้าไป
ในตอนเช้าเวลา ๘.๐๐ น. ข้าพเจ้าและหมอบีมเดินทางสู่บ้านเพื่อนของหมอบีมทันที หมอบีมบอกข้าพเจ้าว่าเพื่อนของเขาชื่อพี มีอาชีพเป็นทนายความ ดังนั้นการที่เขาไม่แจ้งความต่อตำรวจแต่หันมาขอความช่วยเหลือจากข้าพเจ้าแทนเพราะเกรงว่าเรื่องของเขาจะเป็นเรื่องอื้อฉาว และกลายเป็นข่าวคราวไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออาชีพของเขา แต่ข้าพเจ้าว่าเขาคนนี้ขี้ระแวงมากเกินไป
ข้าพเจ้าได้ทายลักษณะนิสัยของนายพีคนนี้ให้กับเพื่อนข้าพเจ้าฟัง ระหว่างนั่งรถแท็กซี่เดินทางมุ่งหน้าไปบ้านของเจ้าทุกข์รายนี้แล้วเราก็มาถึงยังบ้านหลังหนึ่งที่อยู่บนเนินสูง ซึ่งบรรยากาศยามเช้านี้เราได้เห็นเมฆหมอกที่จับตัวกันคล้อยต่ำปกคุมเบื้องลางเนินที่เป็นหมู่บ้านต่างๆทางขึ้นมาสู่เนินแห่งนี้ หมอบีม บอกว่าเป็นภาพที่งดงามมากแต่ข้าพเจ้าว่าอากาศเช่นนี้ถ้าไม่ระวังสุขภาพจะป่วยเอาได้ง่ายๆ
ขณะนั้นพ่อบ้านก็เดินออกจากบ้านมาต้อนรับเรา
“สวัสดีครับ คุณหมอบีม ส่วนคุณ...”
“นี่อาร์เพื่อนนักสืบที่เจ้าพีต้องการพบ” หมอบีมออกหน้ากล่าวบอกแก่พ่อบ้าน
“อ่อ คุณนั่นเองที่เขาบ่นถามถึง”
“แล้วนี่เขาอยู่ไหนละครับ” หมอบีมถามหาเจ้าทุกข์พร้อมทั้งกวาดสายตามองโดยรอบ
“เฮ้อ” พ่อบ้านถอนหายใจก่อนตอบ “เขาป่วยนะครับ เมื่อสองวันก่อนหลังจากที่เราติดต่อไปทางคุณ”
“ป่วยเหรอ” ข้าพเจ้าอุทานขึ้น
“ก็สืบเนื่องจากเรื่องก่อนหน้านั่นละครับ เราเข้าบ้านก่อนเถอะครับ ปะเดี๋ยวเขาคงเล่ารายละเอียดให้เราฟังเอง” พ่อบ้านพาเราทั้งสองเข้าบ้าน แต่ข้าพเจ้าขอแวะดูแถวหน้าบ้านก่อนเป็นการเตรียมตัวก่อนเริ่มงาน แล้วข้าพเจ้าก็ตามเข้าไปในชั่วไม่กี่นาทีนั้น
เราเข้าประตูบ้านไปและเดินผ่านห้องรับแขกไปตามโถงทางเดินที่มีห้องพักของแต่ละคนอยู่ก่อนจะถึงห้องโถงสำหรับนั่งเล่นตรงหน้าห้องพยาบาลนั้น
“โอ้ หมอบีมนั่นเอง” เสียงทุ้มของชายหนุ่มผู้หนึ่งดังมาจากห้องพยาบาล
“ถูกแล้วเพื่อนยาก สวัสดีครับคุณผู้หญิง แกเป็นไงบ้างละนิ เห็นว่าไม่สบายรึ” นั่นคือเสียงที่คุ้นหูข้าพเจ้า เสียงหมอบีมนั่นเอง
ข้าพเจ้าได้ยินเสียงนั้นหลังจากสำรวจอะไรบางอย่างและตามไปในเวลาไร่เรี่ยกัน
“มีเรื่องวุ่นๆพอควรละที่จะทำให้ไม่สบายนะ เอ่อ แล้วนี้พ่อนักสืบเพื่อนนายไม่มาด้วยหรือ”
“เขาสำรวจหน้าบ้านอยู่... อ่อ นี่ไงเขามาแล้ว”
ข้าพเจ้าเปิดประตูห้องตามเข้าไป พลันแล้วเสียงผู้หญิงในห้องนั้นก็เอ่ยขึ้น
“คุณนั่นเอง” ผู้หญิงตัวเล็กผิวขาวเนียน นัยน์ตาชั้นเดียว อายุยี่สิบห้าปีเป็นชาวไทย เธอพูดขึ้นเมื่อเห็นข้าพเจ้า
“หรือคุณจะเป็น” ข้าพเจ้ากล่าวตอบ “คุณฟ้า”
“ใช่” เธอยืนยัน
“อ้าวคุณทั้งสองรู้จักกันหรือครับ” เจ้าทุกข์ที่นอนซมอยู่บนเตียงกล่าวขึ้น ชายผู้นี้เป็นคนสูงใหญ่ แต่ดูผอมๆ ใบหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลา อายุราวสามสิบปี
“อ่อ ฟ้าเป็นเพื่อนผมสมัยมัธยม เอ่อ คือความจริงก็แค่สองปีที่ผมเคยแฝงตัวเข้ามาเป็นนักเรียนในประเทศไทยนะครับ ไม่ต้องสนใจหรอกตอนนั้นเป็นคดีป่วนๆ เรียกว่าคดีแรกๆของผมก็ได้” ข้าพเจ้าสาธยายเล็กน้อยให้เจ้าทุกข์ฟัง นั่นคือเรื่องจริงของข้าพเจ้า ตอนที่เธอรู้จักข้าพเจ้า เธอไม่รู้หรอกว่าข้าพเจ้าเป็นนักสืบ...
“โลกมันแคบจริงๆนะครับ” เจ้าทุกข์กล่าวต่ออย่างยิ้มๆ “แต่ก็ ยินดีอย่างยิ่งที่คุณมา ขอแนะนำอย่างเป็นทางการ ผมชื่อพี นี่ฟ้าคู่หมั้นผม ส่วนนั่นก็ตาเจิมพ่อบ้าน” เขายิ้มแย้ม ขณะที่สีหน้าของเขานั้นซีดเซียวเพราะอาการป่วยอยู่บ้าง
“อ่อ คุณหมั้นแล้วหรือครับ ขอแสดงความยินดีด้วย” ข้าพเจ้าพูด ขณะที่ผู้หญิงเริ่มมีสีหน้าแดงฉานเพราะเลือดฉีดขึ้นหน้าเหมือนจะเหนียมอายต่อคำยินดีของข้าพเจ้า
จากเหตุการณ์เริ่มต้นนี้ข้าพเจ้าจัดเรียงเหตุการณ์ไว้คร่าวๆว่า เจ้าทุกข์ของเรารายนี้นอนซมอยู่บนเตียงในห้องพยาบาลก่อนที่หมอบีมจะเข้ามาเขาเป็นทนายความมีหน้ามีตาในสังคมพอดู มีคู่หมั้นชื่อฟ้าซึ่งเป็นเพื่อนของข้าพเจ้าดังกล่าวมาแล้วอยู่คอยเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดและมีพ่อบ้านชื่อเจิมคอยจัดการดูแลทุกอย่างภายในบ้าน แต่จะว่าไปแล้ว พ่อบ้านผู้นี้ดูอายุเข้ารุ่นแปดสิบปีเห็นจะได้ แต่สุขภาพและร่างกายของแกยังแข็งแรงกระฉับกระเฉงอยู่
ขณะที่ข้าพเจ้ามองพ่อบ้านที่กำลังเดินออกไปจากห้องพยาบาลไปนั้นมีใครอีกคนหนึ่งเป็นผู้ชาย ร่างอวบอูมใบหน้าใหญ่ ส่วนสูงคาดว่าไม่เกินร้อยหกสิบเซนติเมตร กำลังเดินเข้ามาที่ห้องพยาบาลซึ่งพวกเราอยู่กันอยู่ในตอนนั้น แต่ทันทีที่เขาเห็นเราอยู่กันเต็มห้องเช่นนั้นก็แสดงสีหน้าตกใจขึ้นมาบ้าง
“อ่อ นั่นอีกคน” เจ้าทุกข์กล่าวอย่างเอ่ยๆ “เขาเป็นพี่ชายผมเอง ชื่อ พี่โอ”
“อ่อ สวัสดีครับ”ผู้มาใหม่กล่าวทักทายข้าพเจ้ากับหมอบีม
“กระผมแวะเข้ามาดูอาการน้องชายไม่ทราบว่าพวกท่านอยู่ด้วยขออภัย ผมขอตัวก่อนนะครับ” ว่าแล้วก็เดินออกไป
ข้าพเจ้ามองพี่ชายของพีผู้นี้แล้วทราบได้ทันทีว่าเขาไม่ได้อ้วนมาแต่กำเนิด ก่อนหน้านี้เขาหุ่นดีทีเดียว น่าจะเป็นนักกีฬามาก่อน
“เขาเป็นนักกีฬาประเภทไหนหรอครับ” ข้าพเจ้าเอ่ยถามลอยๆ
“อ่อ เขาเป็นนักว่ายน้ำมาก่อนครับ แต่คุณรู้ได้ยังไง” เจ้าทุกข์กล่าว
“กล้ามเนื้อของเขาปะปนไปกลับไขมันเลยทำให้เขาดูอ้วนไปหน่อย เขาคงได้รับอุบัติเหตุอะไรบางอย่างที่ขาสินะครับ”
“รถชนนะครับ เขาถูกรถชน”
“ขาเขาดูจะปกติอยู่ถ้ามองผิวเผินแต่เขาจะเดินเอียงตัวไปมาเพื่อถ่วงน้ำหนักขาไม่ให้ออกแรงมาก จากสภาพคิดว่าช่วงหลังๆคงไม่ได้ออกกำลังกายอะไรมากเลยอวบอูมอย่างนั้น เอาเถอะเรากลับมาที่เรื่องของเรากัน ว่าท่านต้องการให้ผมช่วยอะไรท่านหรือ”
“ดีครับ เช่นนั้นผมจะพูดปัญหาของผมให้ท่านฟัง ผมจะเล่าให้กระชับและได้ใจความที่สุด”
เขาเริ่มทำสีหน้าจริงจังและเข้าเรื่อง
“เรื่องมีอยู่ว่า... ที่บ้านของผมที่นี่ มีห้องลับใต้ดินอยู่ห้องหนึ่ง ความจริงผมเป็นคนชอบอะไรแผงๆแนวนี้ละครับ ชอบมีห้องส่วนตัว มีเรื่องลับๆต้องซ่อนบ้าง แต่ก็ทำไปเพราะชอบให้ดูลึกลับเท่านั้นเอง คู่หมั้นผม พี่ชายหรือแม้แต่พ่อบ้านก็รู้กันอยู่ ก็ที่ห้องลับนี้เองคงซ่อนและปกปิดไว้ได้เฉพาะคนแปลกหน้าที่เข้ามาเท่านั้น ซึ่งประตูทางเข้าห้องลับนั้นจะอยู่ในห้องสมุด ซึ่งอยู่ถัดไปจากห้องลับแขกที่ท่านทั้งหลายเดินผ่านมาจากโถงทางเดิน ถัดจากประตูบ้านทางซ้ายมือนั่นละ ในห้องสมุดนี้มีประตูลับอยู่ที่หนึ่งซึ่งเชื่อมไปห้องลับเป็นเฉลียงเล็กๆมีบันไดลงไปชั้นใต้ดิน นั่นละห้องลับใต้ดินที่เกิดเหตุ
“ผมต้องบอกไว้ก่อนว่าประตูทำลับนี้ทำขึ้นพิเศษเป็นลักษณะเดียวกับชั้นวางหนังสือซึ่งวางต่อเรียงกันจนแยกไม่ออกเลยทีเดียวระหว่างชั้นหนังสือกับประตูห้อง ทั้งประตูและชั้นหนังสือนั้นได้วางหนังสือหมวดสารานุกรมไว้ มีหนังสือสารานุกรมวางอยู่เรียงรายทั้งที่ชั้นวางหนังสือหรือประตูก็ไม่ต่างกัน ทีนี้ท่านคงจะเห็นได้ว่าตรงใต้พื้นกระเบื้องที่เป็นประตูนั้นจะต้องมีลูกเลื่อนสำหรับเลื่อนเปิดประตู มันเปิดออกได้กว้างถึงสี่สิบห้าองศาโดยการผลักเข้าด้านใน ซึ่งตัวประตูจะมีตัวลั่นกุญแจอยู่ และมีปุ่มซ่อนหลบมุมขอบตรงชั้นวางหนังสือชั้นกลาง เป็นปุ่มกดคล้ายสวิสไฟ เมื่อกดไปทางด้านซ้ายกลอนประตูจะปลดออก กดไปขวากลอนประตูจะปิดไว้ ซึ่งนอกจากคนในบ้านแล้วแทบจะไม่มีใครสังเกตเลย อีกอย่างห้องสมุดบ้านผมก็กว้างขวางอยู่ ชั้นหนังสือก็วางเรียงรายหลากหลายหมวด ยากที่จะรู้ได้ว่าสวิสและประตูอยู่ไหน โดยการเดาสุ่ม ทีนี้เหตุการณ์มันเริ่มจากตรงนี้
เมื่อสามวันก่อนเวลา ๑๕.๐๐ น. เป็นเวลาที่ผมเลิกงานและกลับมาถึงบ้านในเวลาสามสิบนาทีต่อมา ผมกลับมาถึงก็ไม่พบใครอยู่บ้าน ซึ่งก็เป็นปกติ ผมรู้ได้ว่าทุกคนไปไหนกันนะครับ คือคู่หมั้นผมเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยตอนนั้นยังไม่กลับ ส่วนพี่ชายผมก็ไปพบปะเพื่อนตามปกติ พ่อบ้านก็ไปจ่ายตลาดเพื่อหาอะไรมาทำอาหารเย็น จะมีก็แต่แม่บ้านเท่านั้นที่เฝ้าบ้านอยู่ ผมเลยเข้าไปที่ห้องสมุด ดูเวลาตอนนั้นคือ ๑๕.๔๕ น. ผมเลยเข้าไปห้องลับใต้ดิน ซึ่งก็เป็นปกตินิสัยผมอีกเช่นกัน สำหรับการที่ผมเข้าห้องลับนั่นจุดประสงค์ก็เพื่อการพักผ่อน หาที่สงบส่วนตัว เนื่องด้วยอาชีพทนายความของผมทำให้ผมรู้สึกว่าทางโลกวุ่นวายเหลือเกิน ดังนั้นการที่ผมจะผ่อนคลายได้คือการนั่งเขียนบทความเล็กๆน้อยๆอย่างสงบ ซึ่งเป็นงานอดิเรกที่ผมต้องหาที่เงียบๆทำ ก็นั่นละครับเหตุผลที่ต้องใช้ห้องลับใต้ดินละ
ทีนี้ผมก็ติดนิสัยที่ว่าทุกครั้งที่อยู่คนเดียวผมจะระลึกถึงเพื่อนเก่าหนหลังโดยการนำสร้อยทับทิมชิ้นหนึ่งออกมาดู”
“สร้อยทับทิมหรือครับ” ข้าพเจ้าอุทานขึ้นอย่างสนใจ เนื่องด้วยไม่คาดคิดว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวอะไรกับสร้อยทับทิมเลย
“ใช่ครับ สร้อยทับทิม”
“ลักษณะเป็นเช่นไรบ้าง”
“ก็เป็นสร้อยเงินที่มีทับทิมรูปหกเหลี่ยม สีม่วงเข้มออกแดงๆ”
“ได้มายังไง”
“เป็นของที่เพื่อนเก่าคนหนึ่งให้มา ตอนที่ผมเป็นทหารเกณฑ์ ก่อนหน้าที่เพื่อนผมคนนี้จะประสบอุบัติเหตุ”
“อุบัติเหตุหรือครับ”
“เป็นอุบัติเหตุในค่ายทหารนะครับ คือเขาพลาดทำปืนลั่นใส่ตัวเองจนต้องเสียชีวิตไป”
“อ่อ ครับ โปรดเล่าเรื่องของคุณต่อไปเถิด”
“ครับก็ผมเห็นว่าเป็นของดูต่างหน้าจากเพื่อนจึงนำออกมาเชยชมเสมอ และวันนั้นขณะที่ดูสร้อยทับทิมอยู่ผมเกิดนึกอยากจะหยิบหนังสือเกี่ยวกับอัญมณีมาดู ซึ่งมันก็อยู่ในหมวดสารานุกรมนะครับ ผมก็เลยออกไปที่ห้องสมุด แต่ก่อนจะเปิดประตูห้องลับออกไปผมจะต้องเช็คดูก้องวงจรปิดที่ฉายให้ดูตรงเฉลียงบันไดก่อนจะออกห้องลับนั่นละครับ ผมดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ในห้องสมุดจึงได้เปิดประตูห้องลับนั้นออกไป เมื่อออกสู่ห้องสมุดผมก็ปิดประตูลับ ทำทุกอย่างโดยรอบคอบแล้วจึงไปค้นหาหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งปกติผมติดนิสัยดูนาฬิกาอยู่แล้ว และที่ห้องสมุดมีนาฬิกาเรือนใหญ่อยู่ผมเลยอดชำเรืองมองไม่ได้ ตอนนั้นเป็นเวลา ๑๖.๑๕ น. และเพราะผมมักจะอ่านหนังสือเล่มนั้นบ่อยๆผมจึงจำที่วางของมันได้ ก่อนจะกลับเข้าไปห้องลับอีกที ผมก็สำรวจดูในห้องสมุดจนทั่ว ตอนนั้นได้เห็นนาฬิกาอีกทีเวลา ๑๖.๒๐ น.เห็นว่าไม่มีใครแล้วผมจึงเปิดห้องเข้าไป แต่แล้วเมื่อกลับเข้าไปนั้นผมกลับได้พบเหตุที่ไม่คาดฝัน สร้อยทับทิมหายไป หายไปอย่างลึกลับครับ ผมงงงันไปหมดจนผมทำอะไรไม่ถูก ก็จะไม่ให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไรครับ ก็ผมระแวดระวังดีออกอย่างนั้น ทั้งทางเข้าก็มีเพียงทางเดียวอยู่ในห้องใต้ดิน ถ้าจะมีโจรเข้ามาขโมยก็ต้องเข้าทางประตูลับนี้เท่านั้น ซึ่งผมก็ยืนหยิบจับหนังสืออยู่ตรงนั้น ไม่มีทางที่ใครจะเข้าไปขโมยได้เลย แต่ทว่าสร้อยทับทิมกลับหายไปได้มันน่าแปลกไหมเล่าครับ
แต่ว่าความร้อนรนใจของผมทำให้ความคิดในตอนนั้นทื่อทึงไปหมด ผมร้อนรนมากจึงรีบออกจากห้องลับนั้นไปโดยพลันเพราะคิดว่าอาจจับโจรได้ เมื่อโผล่ออกห้องสมุดไปมองดูโดยรอบก็ไม่เห็นใคร ตอนนั้นเข็มนาฬิกาชี้ที่เวลา ๑๖.๓๐ นาที เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงวิ่งออกไปนอกห้องสมุดอีก ซึ่งข้างนอกนั้นก็ไม่มีวี่แววอะไร บ้านทั้งหลังยังปลอดคนอยู่ ทั้งคู่หมั้นผม พ่อบ้าน หรือพี่ชายก็ยังไม่กลับมากัน..”
“เดี๋ยวก่อน ขอประเดี๋ยวนะครับ พี่ชายคุณไปสมาคม สมาคมอะไรบอกได้ไหมครับ”
“อ่อ สมาคมคนเล่นหุ้นนะครับ”
“หุ้นหรือครับ”
“ครับ คืออย่างที่คุณทราบว่าก่อนนั้นพี่ผมเป็นนักกีฬาแต่พอบาดเจ็บก็เล่นกีฬาไม่ได้ จึงอยู่แต่บ้านทำงานอะไรก็ไม่เป็นกับเขา ต่อมาเพื่อนเขาแนะนำให้ เขาลองเล่นหุ้นดูนะครับแล้วเขาก็รุ่งเรืองอยู่พักหนึ่งแต่ช่วงหลังๆมาก็เป็นขาลง เขาหมดเนื้อหมดตัวจนต้องขายบ้านขายช่องมาอยู่กับผมเสียที่นี่”
“หมดตัวถึงกับขายบ้านขายช่องทีเดียวหรือครับ”
“ครับ”
“แต่ตอนที่คุณเล่านี่เขามาอยู่กับคุณแล้วนิครับ”
“ก็จริงที่ว่าเขาหมดตัวแล้ว แต่ก็ยังไม่เลิกติดต่อสมาคมของเขาหรอกครับ เขาชอบไปดูราคาหุ้นแต่ละตัวอยู่ เขาว่ามันเป็นความสุขของเขานะครับ”
“คนที่เคยเล่นหุ้นเสียจนรุ่งเรืองครั้งหนึ่ง จะกลับไปดูราคาหุ้นโดยไม่คิดอยากจะเล่น มีอยู่ด้วยหรือครับ”
“ก็เห็นเขาว่าอยากจะเล่นอยู่ แต่ก็อัตคัดขัดสนอยู่ละครับ เขาจึงมาขอยืมเงินผมบ่อยๆ แต่ทุกครั้งผมก็ปฏิเสธไปละครับ”
“อ่อ แล้วยังไงต่อละครับเรื่องของคุณ”
“ครับ เมื่อเห็นเช่นนั้นผมเลยย้อนกลับเข้ามาในห้องสมุดอีกครั้งและดูเวลาอีกทีเป็นเวลา ๑๖.๔๐ น. ผมกลับเข้าไปในห้องลับด้วยความร้อนรน ผมสับสนมากอยากปรึกษาพ่อบ้านแต่เมื่อไหร่เขาจะกลับมาละ ผมจึงดูนาฬิกาตรงคอมพิวเตอร์ซึ่งจะตรงกับนาฬิกาเรือนที่อยู่ในห้องสมุดนั้นตอนนั้นเป็นเวลา๑๗.๐๐ น. ด้วยความกระวนกระวายใจ ตอนนั้นผมเดินออกจากเครื่องคอมและเดินไปเดินมาบริเวณโต๊ะตรงที่สร้อยหายไป ด้วยความครุ่นคิด แล้วตอนนั้นก็นึกได้ว่าเปิดดูกล้องวงจรปิดเสียก็คงจะรู้ได้ ทันทีที่คิดได้ก็เดินตรงไปทางเครื่องคอมอีกครั้งแต่ดันไปสะดุดอะไรบางอย่างเข้าจนหกล้มเซถลา ผมจับเก้าอี้ตรงโต๊ะคอมพิวเตอร์ที่เฉลียงบันได ตรงที่ดูกล้องวงจรปิดนะแหละครับ ถึงแม้จับเก้าอี้ไว้ได้แต่ก็ยังต้องล้มลงทั้งคนทั้งเก้าอี้อยู่ดี หัวผมเลยไปฟาดเข้ากับโต๊ะและสลบไปในที่สุด
“พอฟื้นขึ้นมาผมก็พบว่าตัวเองนอนหมดสติอยู่ในห้องพยาบาลที่บ้านตัวเอง เมื่อกวาดสายตาไปรอบห้องก็เห็นพี่ชายของผม พี่โอนะแหละครับกับฟ้าคู่หมั้นผมและตาเจิม ทุกคนอยู่พร้อมหน้ากันเฝ้าดูอาการบาดเจ็บของผม ผมถามว่า ใครเอาผมมาห้องพยาบาล เขาบอกตรงกันว่า พี่ชายผม แล้วผมก็ถามต่อไปว่า ผมสลบไปนานแค่ไหน เขาบอกผมว่าราวหนึ่งชั่วโมงเห็นจะได้เพราะตอนที่พ่อบ้านกลับมาคู่หมั้นผมก็เลิกงานและมาถึงพอดี ทั้งสองเล่าว่าพอเข้าบ้านมา ทั้งพ่อบ้านและคู่หมั้นผมก็เห็นพี่ชายผมแบกหามผมมาที่ห้องพยาบาลนี่แล้ว จึงช่วยกันดูแลผม เขาแจงต่อผมเช่นนั้นผมก็เลยหันไปมองนาฬิกาในห้องพยาบาลอีกที ตอนนั้นเป็นเวลา ๑๘.๐๐ น.พอดี ดูนาฬิกานั้นผมก็เลยรู้สึกว่าผมปวดขาเพราะสะดุดอะไรบางอย่างล้มคงจะเป็นเก้าอี้ที่ล้มทับขาผมนะครับผมว่า ทีนี้ผมนึกขึ้นได้ถึงเรื่องสร้อยจึงวานให้พ่อบ้านโทรไปขอความช่วยเหลือจากหมอบีมในตอนนั้น
“เดี๋ยวนะครับ คุณแน่ใจหรือครับว่าเวลาที่คุณดูไม่ผิดแม้แต่ครั้งเดียว”
“แน่นอนครับผมแน่ใจทีเดียว ผมเป็นคนจัดเจนกับเวลามาก เพราะนาฬิกาที่ไม่ตรงตามจริงอาจส่งผลต่ออาชีพของผมก็ได้”
“ครับแล้วมีอะไรอีกไหมที่จะเล่าได้”
เขาหลับตาครุ่นคิดก่อนพูดขึ้นอย่างเหนื่อยๆ
“ก็... หลังจากนั้น ทุกคนก็พักผ่อนตามอัธยาศัยเพราะเห็นว่าผมปลอดภัยดีแล้ว แต่ว่าผมกลับมีอาการป่วยไข้ตามมา ก็ได้คู่หมั้นผมกับพี่ชายที่มาดูผมบ่อยๆ โดยเฉพาะพี่ชาย สองวันมานี้เขาเข้ามาดูแลผมอย่างดีตลอด กลางวันมาตั้งเจ็ดแปดครั้งเห็นจะได้ แต่พอผมบอกทักไปว่า พี่นี่ดีกับผมจริงๆ เท่านั้นเขาก็ไม่ได้เข้ามาอีก กระทั่งตอนค่ำที่ผ่านมา ตอนนั้นผมตกใจตื่นขึ้นมาดูที่นาฬิกาเป็นเวลา สี่ทุ่มครึ่ง เหตุที่ผมตื่นเพราะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างตรงหน้าต่างห้องพยาบาลที่ผมนอนอยู่ ผมจึงลุกขึ้นและชะโงกมองไปที่หน้าต่างนั่น คุณคิดว่าผมจะเห็นอะไรละครับ
“เงาตะคุ่มๆ ที่วิ่งหลบไปทางมุมบ้านนั่นนะ ผมเดาว่าคงเป็นโจรแน่ๆ อาจเป็นโจรคนเดียวกันกับที่ขโมยสร้อยก็ได้ มันกลับมาพยายามงัดแงะหน้าต่างห้องผมในคืนที่ผ่านมาผมตกใจจึงตะโกนเรียกทุกคน และพอดีตอนนั้นพ่อบ้านยังไม่หลับเขาดูโทรทัศน์หน้าห้องพยาบาลจึงได้โผล่เข้าไปในห้องผมทันทีแต่น่าเสียดายโจรนั้นวิ่งหายลับตาไปเสียแล้ว สักพักต่อมาพี่ชายและคู่หมั้นผมก็เข้ามาดูผมเพราะได้ยินเสียงร้องนั่น
“ทั้งหมดนี้ละครับเรื่องที่ผมจะบอกกลับคุณ ผมอยากให้คุณช่วยสืบดูหน่อยว่าสร้อยทับทิมของผมหายไปไหน ใครขโมยไป หรือจะให้ดีคุณช่วยจับขโมยให้ผมด้วย ผมจะขอบคุณคุณทีเดียวครับ คุณอาร์”
ข้าพเจ้านั่งเหม่อมองเพดานในตอนนั้น ขณะที่เขาพูดจบ ทุกคนจ้องมองข้าพเจ้า รอฟังคำตอบ ข้าพเจ้าเลยขอให้ พี เจ้าทุกข์ของเราออกไปเดินเล่นรอบๆบ้านกับข้าพเจ้า
“คุณพีครับ จะว่ากระไรบ้างถ้าผมจะชวนคุณไปเดินเล่นดูรอบๆบ้านหน่อยนะครับ”
“อ่อ ได้สิครับ ผมยินดีอยู่แล้วละครับ อีกอย่างผมก็อึดอัดเหมือนกัน”
“ถ้าเช่นนั้นหมอบีมช่วยพยุงคุณพีด้วยนะครับ ส่วนคุณฟ้าครับผมรบกวนคุณเฝ้าดูที่ห้องนี้อย่าไปไหนจนกว่าเราจะกลับมากันนะครับ แล้วก็ คุณพ่อบ้านช่วยไปตามคุณโอไปคุยกับเราที่นอกบ้านด้วยนะครับ บอกเขาว่าผมมีหุ้นดีแนะนำเขาอยู่ เขาอาจสนใจก็ได้ บอกเขาตามนี้ แล้วคุณก็ไปพบเราด้วยนะครับ”
“อ่อได้ครับ” พ่อบ้านตอบ
แล้วทุกคนก็ทำตามที่ข้าพเจ้าสั่ง
หมอบีมพาพีเดินกระเพกๆออกไปนอกบ้าน จุดแรกที่ข้าพเจ้าพาทุกคนไปดูคือตรงหน้าต่างห้องที่ถูกงัดแงะ จากนอกห้องนั้นมองเห็นทุกอย่างในห้องได้ชัดเจน ซึ่งข้าพเจ้าเห็นฟ้ามองดูพวกเราอย่างฉงนสนเท่ห์ เหมือนลุ้นละครเรื่องหนึ่ง
“รอยมีด แซะ” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้นขณะก้มมองดูตรงขอบหน้าต่างที่เกิดเหตุ “เขาพยายามเปิดกลอนหน้าต่าง หน้าต่างกระจกที่ลงกลอนจากด้านในอย่างหนาแน่น เขาเห็นว่าคุณพีตื่นขึ้นมาเปิดไฟ และชำเลืองดูนาฬิกา จึงได้รู้ตัว และหนีไปเมื่อคุณพีหันมามองทางหน้าต่างอย่างว่า... ทำไมเขากล้างัดแงะทั้งที่เห็นว่าคุณนอนอยู่บนเตียงตรงหน้าต่างนั่น....”ข้าพเจ้านิ่งคิดสักพัก “ผมว่าบางทีเขามั่นใจทีเดียวว่าคุณจะหลับสนิท เขาจึงกล้าทำเช่นนั้น และถ้าเป็นเช่นนั้นแผนการของเขาก็ต้องเริ่มมาแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว”
“หมายความว่าไงกัน” คุณพี เจ้าทุกข์สงสัย
“ก็ถ้าไม่มั่นใจสุดๆคงไม่กล้างัดแงะทั้งที่คุณนอนอยู่ ผมว่า คนๆนี้ต้องวางยาคุณ ยาสลบนะครับ เลยแน่ใจว่าคุณจะไม่ตื่นต่อให้เขาทำเสียงดังอย่างไรก็ได้” หมอบีมและคุณพีต่างหันมองหน้ากัน ส่วนข้าพเจ้าเมื่อดูแน่ใจแล้วไม่พบร่องรอยอื่นอีกจึงพากันเดินกลับ
“นายจะไม่ไปดูกล้องวงจรปิดหน่อยหรือ”หมอบีมทักท้วง
“ไม่จำเป็นครับ”
“ทำไมกัน” คุณพีสงสัย
“ก็ลองนึกดูสิครับตามที่คุณเล่ามา ก่อนคุณจะสลบคุณคิดจะไปดูมันแล้วครั้งหนึ่งแต่ก็ไม่สำเร็จ ผมว่าโจรเองคงรู้ตัวแล้วและทำลายหลักฐานหมดละครับ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องไปดูสถานที่”
“คุณพูดเหมือนรู้อะไรแล้ว”
“ใช่ครับ รู้แล้ว รู้ว่าสร้อยทับทิมอันตรธานหายไปอย่างลึกลับ”
ตอนนั้นเองพ่อบ้านพาคุณโอมาหาเราพอดี ข้าพเจ้าจึงเอ่ยถามไปแบบส่งๆ
“คุณเล่นหุ้นหรือครับ”
“แน่นอน คุณคงไม่เชื่อว่ามันทำให้ผมรุ่งเรืองมาช่วงหนึ่ง”
“แต่ก็ดับวูบ” ข้าพเจ้าพูดขึ้น
“ก็ใช่ ถ้าคุณเล่นหุ้นเช่นกันคุณคงรู้ว่าชีวิตเราก็เหมือนกราฟหุ้น ต้องมีทั้งขึ้นทั้งลง ตอนนี้ผมลง ต่อไปต้องขึ้นแน่ และขึ้นสูงกว่าเก่าด้วย”
“อ่อ แต่บางทีมันก็ไม่เสมอไปนะครับ บางทีมันก็ขึ้นไปแค่ครึ่งเดียวของคราวก่อนแล้วจึงกลับสู่เทรนขาลง ซึ่งอาจทำให้ชีวิตคุณลงหนักกว่าเก่าอีกก็ได้”
“โอ้ แล้วคุณคิดว่าอะไรดีละ แนะนำผมหน่อยสิครับ” เขาพูดอย่างเคืองๆ
“ครับ ผมแนะนำว่าคุณเลิกคิดที่จะปล่อยขายหุ้นสินแร่ราคาดีเพื่อแลกกับหุ้นราคาต่ำๆเสียเถอะครับผมว่า” ว่าแล้วผมก็เดินกลับเข้าบ้านอย่างรีบเร่ง ในขณะที่นายโอยืนงงๆอยู่
“ผมไม่ได้เล่นสินแร่สักหน่อย” นายโอกล่าวขึ้นทั้งที่ยืนงงอยู่ ส่วนคนอื่นๆพา พี ที่เดินกระเพกๆ กลับเข้าบ้าน
เมื่อข้าพเจ้าเข้าห้องไปก็ได้ตรงดิ่งไปสนทนากับฟ้าในทันที
“เป็นไงบ้างชีวิตคู่”
“ก็ดีนิ มันทำให้เราเติบโต เป็นผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบมากขึ้น”
“อ่อ และอาจมีอันตรายรอบตัวมากขึ้นด้วย” ข้าพเจ้ามองดูเธออย่างเป็นกันเองในขณะที่พูดอย่างยิ้มๆ
“อย่างไร” เธอแสดงอาการสงสัยด้วยความสนเท่ห์ใจ
“ก็ ว่าที่สามีคุณนะสิ จะมีอันตราย เขาจะอยู่ที่นี่อย่างปลอดภัยไม่ได้ ดังนั้นผมจะบอกคุณว่า ให้เขาไปกับผมเถิด ไปพักที่โรงแรมที่ผมเช่าอยู่สักคืน ช่วงนี้ไม่ต้องห่วงเขาเพราะเขามีหมอบีมคอยดูแลอยู่”
“คืนนี้หรือ”
“ใช่ แล้วคุณควรทำตามคำแนะนำของผมด้วย”
“นี่ฟังดูเหมือนบังคับว่าต้องทำ แล้วทำอะไรอย่างไรบ้างละ”
“คุณไม่ต้องทำอะไรมาก ก็แค่คอยเฝ้าห้องนี้ในคืนนี้ อย่าให้ใครเข้ามาได้ ถ้าคุณหิวก็เรียกให้พ่อบ้านเอาอาหารมาให้ทานในห้องนี้ คุณต้องเปิดไฟในห้องเปิดผ้าม่านไว้ตลอด ระหว่างนั้นคุณหาอะไรทำแก้เบื่อก่อนก็ได้แต่ต้องอยู่ในห้องนี้จนกว่าจะถึงสามทุ่ม จึงออกจากห้องไป เมื่อออกจากห้องแล้วช่วยปิดประตูและลั่นกุญแจห้องด้วยแม่กุญแจที่คิดว่าดีที่สุดที่คุณจะหามาได้ แล้วคุณก็เก็บลูกกุญแจไว้กับตัวตลอดแม้คนในบ้านก็ไม่ต้องให้ เท่านั้นละครับ”
“ทำไมละ” เธอถามอย่างสงสัย
“ยังต้องสงสัยอีกเหรอ ก็ผมนะไว้ใจคุณคนเดียวเท่านั้นละในบ้านนี้ คุณฟ้า”
ข้าพเจ้าบอกเธอไปเช่นนั้น เธอมองดูข้าพเจ้าด้วยสายตาของเพื่อนเก่า หลังจากนั้นพีและคนอื่นๆก็ตามกลับเข้ามาในห้อง ข้าพเจ้าจึงได้บอกกับทุกคนเมื่อพร้อมหน้ากันแล้ว
“ครับและตอนนี้ผมขอบอกทุกคนไว้โดยชัดเจนนะครับ” ทุกคนมองดูข้าพเจ้า ตอนนี้ทุกคนในบ้านอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงกล่าวต่อไปว่า “คุณพีอาจไม่ปลอดภัยถ้าอยู่ในบ้านนี้ เพราะดูจากที่คนร้ายพยายามจะเข้ามาในห้องพยาบาลนี้ เขามีมีดติดตัวมาด้วย ซึ่งถ้าปล่อยไว้ต่อไปอาจกลายเป็นคดีฆาตกรรมก็ได้ ดังนั้นผมจึงเห็นว่า น่าจะพาคุณพีไปพักที่โรงแรมที่ห้องพักของผมสักพักจนกว่าเรื่องนี้จะผ่านพ้นไปด้วยดี และช่วงนี้ต้องฝากคนในบ้านดูแลบ้านให้ดีด้วยนะครับ ดูแลตัวเองด้วย สำหรับคุณพีไม่ต้องห่วง หมอบีมจะช่วยดูแลอาการป่วยของเขาให้ รับรองว่าเมื่อกลับมาเขาจะแข็งแรงและยิ้มแยมอย่างปกติครับ”
ว่าแล้วข้าพเจ้าก็ทำตามที่กล่าว ซึ่งพีก็ตกลงทำตามที่ข้าพเจ้าบอกแต่โดยดี ข้าพเจ้าได้ลากับทุกคนในบ้านและออกจากบ้านไปเรียกแท็กซี่เพื่อเดินทางต่อไปยังโรงแรมที่เช่าไว้พร้อมกับหมอบีมที่พาพีไปด้วย
ทุกคนเชื่อสนิทใจว่าข้าพเจ้าจะไปที่โรงแรมกับพวกหมอและพี แต่ความจริงแล้วข้าพเจ้าไม่ได้บอกว่าจะเป็นเช่นนั้น มีอะไรบางอย่างที่ข้าพเจ้าต้องทำก่อนที่จะกลับไป
“เดี๋ยวจอดตรงหน้านี้หน่อยนะครับ” ข้าพเจ้าบอกคนขับรถ
“อ้าว จอดทำไมหรือ” หมอบีมถามข้าพเจ้าอย่างสงสัย
“มีอะไรบางอย่างต้องทำนะ”
“แล้วนายไม่ไปกับพวกเราหรอกหรือ”
“ไปสิหมอ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ฉันไม่ได้บอกว่าจะไปตอนนี้ พรุ่งนี้ต่างหาก ตอนเช้าเห็นจะได้ อย่างไรเสียเราคงได้ทานอาหารเช้าร่วมกันอยู่”
“แล้วนายจะไปไหน”
“ที่แห่งหนึ่งซึ่งคงไม่กลับเข้าไปบ้านของคุณพีหรอก ระหว่างนี้ขอคุณพีอยู่กับหมอบีมไปก่อนนะครับ ด้วยเหตุที่ทั้งสองเป็นเพื่อนสมัยมัธยมกันอยู่แล้วคงคุยกันสนุกอยู่ ถ้าง่วงก็พากันนอนไปเลยไม่ต้องรอผมนะครับ” พีกับบีมงุนงงเพราะอารมณ์ที่แปรปรวนของข้าพเจ้าอย่างเห็นได้ชัด
แล้วข้าพเจ้าก็บอกให้รถแท็กซี่เดินทางต่อไปส่งพวกเขาที่โรงแรม พร้อมเรียกเก็บค่าแท็กซี่ในส่วนของข้าพเจ้าจากหมอบีมเมื่อไปถึงโรงแรมแล้วนั่น
ข้าพเจ้าดำเนินตามแผนการของข้าพเจ้าซึ่งได้วางไว้อย่างละเมียดละไมที่สุดก็ว่าได้ ข้าพเจ้าฟังความจากที่เจ้าทุกข์ของข้าพเจ้าเล่าให้ฟังแล้วก็พอจับประเด็นสำคัญต่างๆ ได้ เมื่อเรียบเรียงเรื่องต่างๆแล้วข้าพเจ้าก็คิดถึงแผนการนี้ขึ้นมาได้ ซึ่งมันจะทำให้คดีนี้ผ่านพ้นไปอย่างเรียบง่าย ข้าพเจ้า บอกได้เต็มปากเต็มคำเลยว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆ เท่านั้นเอง ซึ่งใครๆก็คงรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นถ้าเรียบเรียงเรื่องราวและวิเคราะห์อย่างละเมียดละไมเช่นนี้ ต้องพูดตามตรงเลยว่าข้าพเจ้ารู้แล้วว่าสร้อยหายไปไหน และใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้รวมถึงว่าทำไมต้องวางยาสลบคุณพีแล้วงัดแงะห้อง ทุกอย่างขมวดปมไว้เป็นเรื่องเดียวกัน แต่การทำงานของข้าพเจ้าในค่ำคืนนี้เป็นไปเพื่อจับโจรให้ได้อย่างคาหนังคาเขานั่นเอง
และแล้วในเช้าวันต่อมาข้าพเจ้ากลับไปที่โรงแรมอย่างเบิกบานใจ เมื่อไปถึงโรงแรมแล้วข้าพเจ้ายังไม่เคาะประตูเรียกใครในห้อง เพราะข้าพเจ้าต้องการทราบว่าสองคนนั้นจะมีวิตกวิจารณ์ในเรื่องนี้กันขนาดไหน แล้วข้าพเจ้าก็ต้องนั่งหัวเราะคิกๆ อย่างเงียบๆที่หน้าประตูเพราะทั้งสองคนต่างพูดกันไปต่างๆนานาถึงข้าพเจ้า หมอบีมก็เล่าเรื่องของข้าพเจ้าให้พีฟังอย่างพิสดาร ส่วนพีเองก็หวาดระแวงไปต่างๆนานา ทั้งสองคุยกันได้อย่างเป็นกันเองที่สุดตามประสาเพื่อนร่วมชั้นเรียนด้วยกันนั่นแหละ สำหรับข้าพเจ้ารู้ได้อย่างหนึ่งว่าตอนนี้พีหายจากอาการป่วยแล้วด้วยฝีมือของหมอบีม ก็คงมีอาการเดียวที่แก้ไม่หายสำหรับพี คืออาการขี้หวาดระแวงของเขานั่นเอง แต่ก็ดีอยู่บ้าง เพราะถ้าไม่ได้เขาที่หวาดระแวง คอยดูแต่นาฬิกา ทำให้คะเนเวลาได้อย่างแม่นยำ ซึ่งมีประโยชน์ต่อการสืบสวนของข้าพเจ้าในครั้งนี้มาก
ซึ่งแน่นอนเช้าวันนี้ข้าพเจ้าพร้อมแล้วที่จะเสิร์ฟข่าวดีให้เขาทันทีที่เขาเปิดประตูออกห้องออกมา ข้าพเจ้าจึงเคาะประตูเมื่อคิดว่าได้เวลาแล้ว ตอนนั้นหมอบีมเป็นคนออกมาเปิดประตูห้อง ข้าพเจ้าเดินเข้าห้องไปด้วยสีหน้าที่เสแสร้งทำเป็นว่าล้มเหลวแล้ว จึงได้เห็นว่าพีถึงกับถอดใจที่จะได้สร้อยคืน ข้าพเจ้าจึงปล่อยเสียงหัวเราะออกไปเสียก๊ากใหญ่ เขางุนงงกับข้าพเจ้ามาก ข้าพเจ้าเลยต้องบอกกับเขาไปในที่สุด
“ล้อเล่นนะ อย่าได้ถือสาผมเลย ถือเสียว่าเป็นการทำความรู้จักกันนะครับ”
“อะไรครับ ผมงงไปหมดแล้ว” เขาแปลกใจอย่างมากในคำพูดของข้าพเจ้า
“แล้วคุณคิดอย่างไรละครับ”
“ไม่รู้สิ คุณกำลังทำผมสับสน”
“งั้นผมว่านี่คงให้คำตอบแก่คุณได้”
ข้าพเจ้าส่งกล่องหนังกล่องหนึ่งให้กับเจ้าทุกข์ของเรา เขามองดูกล่องนั้นอย่างฉงนสนเท่ห์ก่อนเปิดมันออกดู และลุกขึ้นโหยงอย่างรวดเร็วทั้งที่นั่งอยู่ เขาแสดงความดีใจอย่างลิงโลด
“คุณเอามาได้แล้ว คุณทำยังไง เกิดอะไรขึ้น มันอยู่ไหน ใครเอาไป...”
ข้าพเจ้าหัวเราะเสียงดังลั่นพักหนึ่งก่อนพูดขึ้นในที่สุด
“คุณนี่ถามผมเสียแย่เหมือนกันนะครับ” ข้าพเจ้านั่งลงบนเก้าอี้ในห้องของเราซึ่งวางเรียงกันอยู่ตรงโต๊ะกลมกลางห้อง
“เรื่องนี้ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากมาย เป็นปัญหาพื้นๆละครับ”
พียังคงมองข้าพเจ้าด้วยแววตาที่สงสัยอยู่
“ความจริงตอนที่ผมได้ฟังคุณเล่าถึงเรื่องนี้ในเบื้องต้น ผมก็มองเห็นภาพเหตุการณ์สำคัญตามนั้น ซึ่งดูเหมือนกับว่ามันลึกลับซับซ้อนแต่ทว่าไม่เลย ไม่มีอะไรซับซ้อน มันเป็นเรื่องที่ง่ายนิดเดียว หากเป็นไปตามข้อสันนิษฐานของผมนั่นละก็ เมื่อผมฟังคุณเล่ามาเรื่อยๆเรื่องที่น่ายินดีคือคุณสังเกตนาฬิกาตลอดเวลานั่นละที่มันช่วยเราได้มากทีเดียว ก็เรื่องเวลานั่นละที่ทำให้ผมระบุตัวคนร้ายได้ชัดเจนที่สุด เมื่อนำตัวคนร้ายที่ระบุได้ไปรวมกับเหตุการณ์ในเบื้องต้นที่ได้สันนิษฐานไว้นั้นก็จะเห็นเรื่องที่โยงใยกันในเรื่องนี้ออกมาเป็นเงื่อนงำเต็มไปหมด ทีนี้เงื่อนทั้งหลายเหล่านี้มันจะไปรวมกันที่ไหนละครับ ก็ถ้าเราตามสายป่านนี้ไปก็จะพบต้นตอมันที่นั่น
“ผมได้พาทุกคนไปดูที่ๆ เขางัดแงะ หน้าต่างห้องพยาบาลนั่นนะ ผมก็ยิ่งได้คำถามใหม่มาว่า ทำไมเขาต้อง พยายามเข้าห้องพยาบาลนั้น เมื่อโยงเรื่องไปเรื่องก่อนหน้านี้ผมก็ได้เห็นความจริงที่มีอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นในเรื่องนี้ คำตอบทุกอย่างก็อยู่ตรงนั้น รวมถึงแผนการต่างๆก็ผุดขึ้นมาในหัวผมทันที ผมเลยต้องให้คุณมาที่โรงแรม เพราะคุณ เป็นเสมือนอุปสรรคของสัตว์ประเภทหนึ่งที่ต้องการจับเหยื่อ ดังนั้นการพาคุณออกจากบ้านนั่นละเปิดทางให้สัตว์เข้าตระคลุบเหยื่อได้อย่างอิสระ ซึ่งถ้าเราประสงค์จะเห็นสัตว์ประเภทที่ซ่อนตัวอยู่ก็จะเห็นได้ในตอนนี้ นี่ละเป็นแผนการล่อที่ดีที่สุดเลยละ”
พีและหมอบีมยังคงมองดูข้าพเจ้าอย่างงุนงง
“มันแปลว่าอะไรกัน” หมอบีมถาม
“ในคำถามแรกถ้าจะถามก็คือ คนร้ายเข้าไปในห้องลับนั่นตอนไหน ก็ถ้าคุณพีระมัดระวังขนาดนั้น ก็บอกคำตอบได้คำเดียวเท่านั้นว่า เขาไม่ได้ตามเข้าไปเลย”
“อะไรกันครับ” พีถามอย่างสับสนและงุนงง
“ง่ายนิดเดียว คือเขาไม่ได้ตามคุณจริง แต่คุณต่างหากที่ตามเขาเข้าไป หรือจะพูดให้ชัดเจนก็คือเขาได้เข้าไปในห้องนั้นก่อนคุณ ซึ่งถ้าคุณย้อนดูกล้องวงจรปิดได้ทัน คุณก็คงจะได้เห็นว่าก่อนหน้าที่คุณจะกลับมาสักชั่วโมง สองชั่วโมงหรือมากกว่า นั่นคงทำให้คุณเห็นได้ว่าเขาเข้าห้องนั้นก่อนคุณ แต่ทว่าคุณปักใจเชื่อว่าเขามาทีหลังคุณเสีย ทีนี้ผมจะได้แจงรายละเอียดให้พวกคุณฟังว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นอย่างไร
“ผมอนุมานเหตุการณ์ได้ดังนี้ ครั้งหนึ่งคนร้ายคนนี้เคยได้เห็นคุณพีในห้องใต้ดินลับนั่น และครั้งนั้นเขาก็ได้เห็นสร้อยทับทิมที่คิดว่าน่าจะมีราคาแพงพอจะแปลงสภาพเป็นเงินได้อยู่กับพี และวันที่เกิดเหตุคนร้ายก็ไปในห้องลับนั้นอีกครั้ง เพื่อค้นหาสร้อยทับทิมนั้น ทว่าตอนนั้นหาอยู่หลายชั่วโมง แต่ก็ไม่พบอะไรจนเวลา ๑๕.๔๕ น. ตามที่คุณสังเกตดูนาฬิกานั้น คุณพีก็กลับมาถึงบ้านและตรงเข้าห้องลับนั้นพอดีกับที่โจรยังไม่ทันออกจากห้อง เขาจึงต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในห้องนั้น แถวมุมใดมุมหนึ่งในที่ลับตาจากคุณ เขาซุ่มดูคุณในห้อง รอให้คุณพีออกไปจึงจะหนีออกไปได้ แต่คุณพีก็นั่งเขียนอะไรบางอย่างราวครึ่งชั่วโมง จนได้เห็นคุณพีนำสร้อยทับทิมออกมาดู แล้วบังเอิญคุณพีก็ผละออกไปทั้งที่ทิ้งสร้อยทับทิมไว้ที่โต๊ะ ตอนนั้นตกเวลา ๑๖.๑๕ น. เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้นก็คิดว่าโอกาสเข้ามาหาโจรเสียเองแล้ว เขาจึงออกจากที่ซ่อนมาหยิบเอาสร้อยทับทิมไป ในชั่วเวลาเพียงห้านาทีเท่านั้นเสียงประตูห้องหรืออะไรสักอย่างทำให้เขารู้ตัวว่าคุณกลับมาจึงต้องกลับไปซ่อนตัวที่เดิมอีก เวลาในตอนนั้นที่คุณดูจากห้องสมุดเป็นเวลา ๑๖.๒๐ น.
“คุณพีกลับมาในห้องแต่ไม่พบสร้อยทับทิมแล้ว ก็เกิดอาการกระวนกระวายที่เห็นว่าสร้อยนั้นอันตรธานหายไปจึงได้รีบร้อนออกจากห้องอีกครั้งอย่างกระวีกระวาด ตอนนั้นคุณได้ดูนาฬิกาอีกครั้งเข็มนาฬิกาบอกเวลา ๑๖.๓๐ น. แสดงว่าช่วงเวลาในตอนที่คุณกลับเข้าไปในห้องแล้วรีบกลับออกมานั้นเป็นช่วงเวลาแค่ห้านาที แล้วกลับเข้าไปที่ห้องสมุดอีกครั้ง ตอนเวลา ๑๖.๔๐ น. นั่นแสดงว่าคุณไปมองดูรอบบ้านเป็นเวลาสิบนาทีก่อนกลับไปที่ห้องนั้นอีกครั้ง
“ทีนี้สำหรับคนร้ายนะครับ ช่วงเวลาหลังจากที่คุณออกจากห้องไปเพราะตกใจที่สร้อยหายนั้นกระทั่งกลับเข้ามาอีกครั้งเป็นหนที่สามนี่ เป็นเวลาถึงสิบห้านาทีถ้าเพราะคุณต้องวิ่งเข้าวิ่งออกอีกและด้อมๆมองๆนอกบ้านอีกดังว่า ซึ่งช่วงนี้เป็นโอกาสที่เขาจะหนีออกไปจากห้องนั้น แต่ก็ช้าไปหน่อย เขาไปอยู่ตรงเฉลียงบันไดที่โต๊ะคอมพิวเตอร์สำหรับดูกล้องวงจรปิดตั้งอยู่นั้น พอดีคุณก็กลับเข้าห้องมาอย่างปัจจุบันทันด่วน คนร้ายจึงต้องหลบอยู่ใต้โต๊ะคอมพิวเตอร์นั้นเพราะเป็นที่ซ่อนที่ใกล้ที่สุดซึ่งอาจหลบมุมและเป็นอีกที่ๆมืดอยู่ก็ได้ คุณจะไม่ทันสังเกตในเรื่องนี้ คุณพีที่อาการร้อนรนกลับมาถึงและเดินไปเดินมาก่อนตรงไปดูนาฬิกาที่เครื่องคอมแต่ลืมนึกถึงกล้องวงจรปิดไปเสียได้ การเดินไปมาขอคุณกินเวลาไปถึงยี่สิบนาที ซึ่งคุณได้ดูเวลาปัจจุบันจากจอมินิเตอร์ตรงหน้านั้นที่แสดงเวลา ๑๗.๐๐ น. แล้วคุณก็ยังคงกลับมาเดินต่อไปเพื่อรอพ่อบ้านกลับมาแต่ก็นึกขึ้นได้ถึงกล้องวงจรปิดในตอนนี้
“คุณพีเดินไปเดินมาอย่างร้อนรนบริเวณโต๊ะซึ่งโจรคนนั้นหลบอยู่ แน่นอนว่าคุณโจรได้ยินที่คุณพูดถึงกล้องวงจรปิดแล้ว จึงกลัวว่าคุณจะพบเขาเข้า แล้วความจริงที่ดูมืดมนก็จะแตก เมื่อคิดเช่นนั้นโจรจึงตัดสินใจทำร้ายคุณพี โดยเริ่มแรกเขาได้เตะขาคุณพี ทำให้คุณเซถลาไปซึ่งถึงแม้ว่าคุณจะคว้าเก้าอี้ได้แต่ก็พลาดล้มหัวฟาดเข้ากับโต๊ะจนสลบไป และที่คุณคิดว่าเก้าอี้หรืออะไรทับขาคุณนั่นนะ ความจริงเพราะคนร้ายเตะขาคุณจนได้รับบาดเจ็บเช่นนั้นนั่นเอง เมื่อคนร้ายเห็นว่าพีสลบไปจึงคิดว่าเป็นโอกาสเดียวที่จะออกไปได้โดยไม่มีใครสงสัยอีกนั่นคือเหตุต่างๆทีเกิดขึ้น”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น” พีเริ่มตาเป็นประกายเพราะเห็นภาพที่ข้าพเจ้าเล่าโดยละเอียด “ถ้าผมกลับไปดูกล้องวงจรปิดอีกทีได้ละก็ คงจะเห็นคนร้ายออกจากห้องไปก่อนที่พี่ชายผมจะกลับมาและพบเจอกับผมสินั่นสินะครับ”
“แต่ผมคิดว่าคงไม่ทันหรอกครับเพราะเขาคงใช้เวลาช่วงที่คุณหมดสติไปหรืออาจจะช่วงที่คุณป่วยอยู่ในห้องนั้นละครับกลับไปทำลายหลักฐานในบันทึกจากกล้องวงจรปิดดังที่ได้บอกไว้แล้วนั่นนะ”
“แล้วถ้าเช่นนั้นคุณตามคนร้ายได้ยังไงกัน”
“ง่ายนิดเดียวครับ ก่อนหน้านี้คุณก็บอกเองว่าห้องลับนะใครๆจะรู้ได้ยาก และถึงรู้ว่ามีก็คงหาประตูไม่ได้ ดังนั้นใครกันละครับจะเข้าไปห้องลับได้ก่อนที่คุณจะเข้าไปเสียอีก ผมจึงอนุมานได้ทันทีว่าเจ้าหัวขโมยที่ทำร้ายคุณคือคนในบ้านของคุณเองนั่นเอง”
ทั้งสองนิ่งอึ้งเมื่อได้ฟังข้าพเจ้าเล่า
“โอ้ ผมไม่อยากเชื่อ ตอนแรกผมก็มีสงสัยในแง่นี้เหมือนกัน แต่ผมไม่คิดว่าจะจริง”
“แต่อย่างไรความจริงก็คือความจริงละครับ ซึ่งเหตุที่ทำให้ผมยืนยันคำอนุมานนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็คือเหตุการณ์ที่หัวขโมยกลับมางัดแงะหน้าต่างห้องพยาบาลนั่นละครับ”
“หมายความว่ายังไงครับ”
“ก็หมายความว่ามีความจำเป็นอะไรบางอย่างที่เขาจะต้องเข้าไปในห้องนั้นนะสิครับ”
“อะไรกัน ก็ถ้าเขาเป็นคนในบ้านทำไมเขาต้องงัดแงะเข้าไป ตรงเข้าทางประตูก็ไม่น่าจะเป็นที่สงสัยแล้วนิครับ”
“ใช่ครับ ถูกต้องทีเดียว แต่ทว่าถ้าเขาต้องการทำอะไรบางอย่างโดยที่ไม่ให้ใครทราบละก็ มันก็มีเหตุผลที่รับกันอยู่”
“แล้วอะไรกันที่เขาต้องการนะครับในห้องพยาบาลนะครับ คงไม่ใช่ยาหรืออะไรกระมัง”
“ไม่ครับ ไม่ใช่ยาหรืออุปกรณ์พยาบาลแต่อย่างใด แต่ที่เขาต้องการที่สุดคือสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่านั้นต่อไปผมจะเล่าเรื่องในคืนที่ผ่านมาให้ฟังละกัน” คุณพีและหมอบีมตั้งหน้าตั้งตาฟังอีกครั้งอย่างตั้งใจ
“ก็หลังจากที่ผมปลีกตัวจากพวกคุณที่ระหว่างทางนั่งรถแท็กซี่กลับโรงแรมนั้น ผมได้ย้อนกลับไปบ้านคุณพี แต่ถ้าคุณจำได้ผมบอกว่าผมจะไม่เข้าบ้านคุณใช่ไหมละครับ นั่นก็เป็นเรื่องจริง ผมไม่ได้กลับเข้าบ้านคุณหรอกครับเพียงแต่ผมไปแอบซุ่มดูสถานการณ์ตามแผนการของผมอยู่ตรงพุ่มไม้ ที่จะสังเกตเห็นหน้าต่างห้องพยาบาลที่บ้านคุณได้นั่นละครับซึ่งตอนนั้นไฟยังเปิดสว่างอยู่ ม่านก็ไม่ได้ปิดเป็นไปอย่างที่ผมได้บอกให้คุณฟ้าทำทุกอย่าง ดังนั้นผมจึงเห็นทุกอย่างในห้องได้ชัดเจนทีเดียวละครับ ตั้งแต่ตะวันตกดินจนฟ้ามืดราวทุ่ม สองทุ่ม
“ผมเห็นคุณฟ้าอยู่ในห้องนั้นตามคำสั่งผม เธอนั่งอ่านหนังสืออยู่แล้วก็สั่งอาหารจากพ่อบ้านมาทานในห้องนั้น เขาเดินไปเดินมาบ้างซึ่งคิดว่าคงเข้าห้องน้ำในห้องนั้น จนกระทั่งเวลาสามทุ่มไฟห้องก็ดับลงและฟ้าก็ออกจากห้องไปเสียงปิดห้องและลั่นกุญแจดังมาแผ่วๆ ดังนั้นผมก็จึงตัดผู้ต้องสงสัยออกไปหนึ่งคน พอเวลาสี่ทุ่มแล้วไฟบ้านทั้งหลังจึงดับลง นั่นหมายความว่าได้พากันหลับแล้วทุกคน คืนนั้นท้องฟ้าเปิดโล่งแสงตะวันส่องพอเห็นอะไรๆชัดอยู่บ้าง เวลาประมาณสี่ทุ่มครึ่งผมก็ได้เห็นสิ่งที่เฝ้ารอดูอยู่ตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมานั้น มีเงาตะคุ่มๆ ย่องกริบมาด้อมๆมองๆแถวหน้าต่างห้องพยาบาลนั้น ผมทำใจเย็นรอดูสถานการณ์ต่อไป ก่อนที่จะเห็นเขาค่อยๆงัดแงะหน้าต่างห้องนั้นและก็ได้ผลจริง หน้าต่างเปิดออก แล้วเขาก็ย่องกริบไปเข้าหน้าต่างห้องไปอยู่ด้านในนั้น คุณคิดว่าอะไรละที่อยู่ในห้องนั้น ที่เขาต้องการที่สุด ผมไม่สงสัยเลยว่านั่นก็คือสร้อยทับทิมนั่นเอง” ตอนนี้พีแสดงอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัด
“อะไรกัน สร้อยอยู่ในนั้นหรือ ได้ไงกัน จุดไต้ตำตอนี่เอง”
“ใช่ครับ สร้อยอยู่ในที่ๆคุณอยู่นั่นละครับ ผมได้ย่องกริบตามไปสอดส่องดูจนเห็นทุกอย่าง สร้อยนั้นอยู่ในที่ๆผมคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้ว เขาก้มไปล้วงหาอยู่ใต้เตียงพักหนึ่งจึงหยิบมันขึ้นมา ใช่ครับใต้ที่นอนคุณนั่นละที่สร้อยทับทิมอยู่ ดังนั้นคุณคงเข้าใจแล้วสินะครับว่าทำไมต้องเข้าห้องนั้นให้ได้ แต่อย่างไรก็ตามการควานหาใต้เตียงนั้นก็เป็นเวลาราวสิบนาทีได้ คงจะอยู่ลึกพอควร”
“ต่อมาเขาก็ย่องกริบออกมาทางเดิมโดยหารู้ไม่ว่าผมได้แอบหลบอยู่ข้างๆหน้าต่างนั้น เมื่อเขาออกจากหน้าต่างมาแล้วผมก็เข้าแสดงตัวพร้อมกับจับแขนเขาไว้แน่น มือเขาข้างที่ผมจับนั้นนั้นมีสร้อยอยู่ ผมไม่รอช้าปล่อยให้จังหวะหลุดมือผมไปได้ ชั่วเวลาที่เขางุนงงอยู่นั้นผมได้ดึงเอาสร้อยมาไว้ในมือของผมเสีย ชายคนนั้นหันหน้ามามองผมอย่างตกใจทีเดียว คุณคิดว่าใบหน้านั้นเป็นของใครละครับคุณพี”
“ผมไม่แน่ใจ หรือไม่อยากเดาเลย”
“อืม ความจริงผมคาดไว้ถูกต้องทุกอย่าง คุณเห็นวิธีการจำกัดตัวผู้ต้องสงสัยของผมแล้วซินะครับ ผมค่อยๆตะล่อมค้นหาสายป่านจากเงาดำมืดเมื่อพบสายป่านก็สาวเข้าไปหาต้นตอมัน คุณบอกว่าห้องลับไม่มีใครรู้ได้นอกจากคนในบ้าน ผมก็จำกัดผู้ต้องสงสัยว่าเป็นคนในบ้านคุณ ซึ่งบ้านนี้มีกันทั้งหมด ห้าคน คือ คุณพี คุณฟ้าคู่หมั้นของคุณ คุณโอพี่ชายของคุณ พ่อบ้านเจิม และ แม่บ้านแจ่ม เมื่อแรกความสงสัยของคนโดยทั่วไปอาจตกอยู่ที่แม่บ้านคนนี้ แต่ผมต้องมองข้ามเพราะผมคิดว่าการมองเช่นนั้นอาจปิดทางที่จะเห็นความจริงได้ ผมต้องย้อนกลับมามองภาพรวมเสียก่อนและให้เปอร์เซ็นต์ที่เธอจะก่อเหตุแค่สิบเปอร์เซ็นต์ ทีนี้เมื่อตัดคุณพีซึ่งเป็นเจ้าทุกข์ย่อมบริสุทธิ์ออกไป ผู้ต้องสงสัยก็จะมีแค่สีคนเท่านั้น ซึ่งแต่ละคนมีโอกาสทำการครั้งนี้ได้ทั้งนั้น ความหมายของผมคือไม่เว้นแม้แต่คุณฟ้าที่ซึ่งผมเองก็รู้จักเธอดีนั่นด้วย ผมต้องสงสัยไว้ก่อน แต่พอโยงสายป่านมาถึงเรื่องห้องที่ถูกงัดแงะในคืนก่อนหน้าวันที่ผมจะไปที่นั่น สายป่านของแม่บ้านก็ออกนอกประเด็นไปจากสิบเป็นศูนย์แล้ว เราจึงเห็นแค่คนสามคนเท่านั้นที่มีสายป่านโยงมาทางเดียวกัน ก็หลังจากนี้ผมก็จึงใช้เรื่องห้องพยาบาลให้เป็นประโยชน์ที่สุด ผมให้คุณฟ้ามีโอกาสเต็มที่ในห้องนี้โดยเธอไม่รู้เลยว่าผมแอบดูอยู่ แต่ทว่าเธอไม่ยักจะทำอะไรเลย ดังนั้นผมจึงเชื่อได้ว่าเธอบริสุทธิ์จึงตัดออกอีกคน ทีนี้เมื่อตัดคุณฟ้าออกก็เหลืออยู่แค่สองคนเท่านั้น พีชายคุณกับพ่อบ้าน ใครกันละที่จะเป็นโจรร้ายในเรื่องนี้ คนแก่อายุย่างเข้าแปดสิบปีที่ยังดูกระฉับกระเฉงหรือคนหนุ่มที่อุ้ยอ้ายอายุย่างเข้าสี่สิบปี
“และเมื่อฟังจากที่คุณเล่า ผมเห็นความเป็นไปได้อีกประการหนึ่งอยู่ คุณบอกว่าพี่ชายคุณนั่นละที่เข้าออกห้องพยาบาลบ่อยที่สุดถึงแม้จะบอกว่ามาดูอาการน้องชายก็เถอะมันไม่บ่อยเกินความจำเป็นไปหน่อยหรือ ตรงกันข้ามกับคุณพ่อบ้านที่ไม่ได้แวะไปเยี่ยมคุณเลยเอาแต่ตระเตรียมอาหารก็ดี ยาก็ดี ทำความสะอาดบ้านก็ดี เนื่องจากภรรยาแกไม่อยู่ แกจึงต้องรับหน้าที่หนักเป็นพิเศษ รวมถึงตอนที่ออกมาต้อนรับเรานั่นก็เช่นกัน เป็นหน้าที่ของเขา ซึ่งก็กว่าจะได้หยุดพักก็ตอนค่ำ ผมจึงให้เปอร์เซ็นต์แกน้อยมาก ทีนี้สำหรับพี่ชายคุณ เขาไปทำอะไรกันบ่อยๆในห้องพยาบาลละ ผมเชื่อว่ามีบ่อยครั้งที่เขาเอายาและกับข้าวไปเยี่ยมคุณ ถ้าเป็นจริงดังว่า โอกาสที่เขาจะใส่ยาสลบให้คุณก็มีอยู่สูง แต่เรื่องจะผิดคาดทันทีถ้าพอดีคุณไม่ได้ทานมันจริงไหม
และคืนก่อนหน้านั้นตาเจิมก็ดันนอนดูทีวีที่หน้าห้องพยาบาลนั่นอีกอาจเป็นอุปสรรคอย่างมากสำหรับพี่ชายคุณที่จะเข้าห้องพยาบาลตอนที่คุณหลับ แต่ถ้านึกดูอีกทีเขาอาจจะไล่พ่อบ้านไปนอนแล้วเฝ้าคุณแทนก็ดูเหมือนจะทำได้ แต่เขาไม่ทำอาจเป็นเพราะพ่อบ้านนี้หัวรั้นพอจะเอาพี่ชายคุณอยู่บ้าง หรือ อีกกรณีคือพี่ชายคุณระแวดระวังเหมือนคุณนั่นละ เขาไม่อยากให้เกิดความสงสัยขึ้นในตัวเขา แต่เขาก็ร้อนรนที่จะได้สร้อยทับทิมนั่น จึงตัดสินใจไปงัดแงะหน้าต่างห้องพยาบาลแทนการเข้าประตู ซึ่งการตอนนั้นคงผิดคาดไปอย่างว่านะ คุณไม่ได้ทานยาสลบที่เขาใส่ไว้ให้ในอาหาร ดังนั้นคุณจึงตื่นขึ้นมาเปิดไฟห้องเมื่อมีเสียงงัดแงะดังขึ้น พี่ชายคุณเลยต้องแผ่นแนบไปก่อนอย่างที่คุณเห็นตอนชะโงกหน้าไปทางหน้าต่างนั่น”
“อ้า จริงหรือครับนี่ พี่โอเองนะหรือ ขโมย...”
“แน่แท้ทีเดียวยิ่งถ้าดูตามเวลาที่พ่อบ้านและคู่หมั้นคุณกลับมานั่นพบคุณตอนแรกของเรื่องนี้ก็จะเป็นการยืนยันคำตอบที่ชัดเจน ทั้งสองคนยืนยันพร้อมกันว่ามาถึงบ้านในเวลา ๑๗.๐๐ น. และบอกว่าตอนนั้นเห็นพี่ชายคุณแบกคุณเข้าห้องพยาบาลผ่านไปหนึ่งชั่วโมงคุณก็ฟื้นขึ้นและดูนาฬิกาเป็นเวลา ๑๘.๐๐ น. นั่น คุณดูสิครับ คุณจำได้ไหมว่าเวลาที่คุณดูตอนก่อนคุณจะสลบนะเวลาเท่าไหร่ หลังจากคุณดูนาฬิกาที่คอมพิวเตอร์ลองบอกผมสิว่าเวลาตอนนั้นเท่าไหร่กัน”
“๑๗.๐๐ น.” พียืนยันก่อนแสดงอาการตกใจเพราะนึกขึ้นได้ฉับพลันนั้นเอง
“ใช่แล้วครับเวลามันกระชั้นชิดกันมาก ห้าโมงเย็นตอนนั้นคุณดูกล้องวงจรปิดเดินไปเดินมาและล้มหัวฟาดจนหมดสติ แล้วมันแทบจะทันทีทันใดที่พี่ชายคุณมาพาคุณไปห้องพยาบาลที่ขณะนั้นพบกับคุณฟ้าและพ่อบ้านเจิมพอดีนั่นนะ แม้เวลาอาจคาดเคลื่อนได้บ้างแต่การที่พี่ชายคุณพาคุณกลับมาทันทีก็น่าสงสัยทีเดียว เมือรวมกับเรื่องทั้งหมดทั้งมวลมันก็ลงตัวกันพอดี” พีแสดงอาการเสียใจอยู่เล็กน้อย
“เพราะคุณเป็นน้องชายที่คลานตามกันมาดังนั้นการจะเสียความรู้สึกก็ต้องมีบ้าง แต่อย่างไรเสีย ความจริงก็คือความจริง เพราะคนที่ผมได้พบ จนกระทั่งจับได้คาหนังคาเขาในคืนที่ผ่านมาก็คือเขา... พี่ชายคุณ คุณโอนั่นละ จริงแท้ทีเดียวครับ”
“ด้วยเหตุอะไรกันต้องทำอย่างนี้ เขาหรือที่คิดจะทำร้ายผมด้วยนะ”
“ใช่ครับ ถ้าถามเหตุผลผมว่ามีเพียงเหตุผลเดียวที่ทำให้เขาหลงผิดได้ถึงเพียงนี้ นั่นก็คืออำนาจเงิน และอย่างที่คุณเล่ามาว่าเขาเคยเล่นหุ้นจนรุ่งเรืองมาแล้วครั้งหนึ่งก่อนจะถึงคราวขาลงอย่างหนักจนสิ้นเนื้อปะดาตัวเช่นนี้เขาย่อมคิดที่จะเอาคืน แต่ระหว่างนี้เขายังไม่มีเงิน พอดีเห็นสร้อยทับทิมที่น่าจะมีราคานั่นละกองไฟแห่งความโลภก็ลุกโชนอีกครั้ง เขาจึงพยายามที่จะขโมยสร้อยทับทิมนั้นอยู่หลายครั้งแต่ก็หามันไม่พบ ซึ่งอาจเป็นเพราะคุณพกติดตัวตลอดก็เป็นได้ นั่นละจุดประสงค์ของเขา ถ้าได้สร้อยทับทิมไปขายเปลี่ยนเป็นเงินก้อนหนึ่งแล้วลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ซื้อหุ้นสักตัวสองตัวเพื่อหวังเก็งผลกำไร บางทีเขาอาจกลับไปรุ่งเรืองได้อีกครั้ง ซึ่งถ้าได้เช่นนั้นก็คงกู้หน้าเขาไว้ได้มากทีเดียว ความคิดเช่นนี้นับวันจะหนักเข้าจนกลายเป็นสิ่งที่อันตราย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเพียงแค่ให้ได้สร้อยมาเขากล้าทำร้ายคุณได้ และถ้าปล่อยไว้ต่อไปอาจลุกลามเป็นภัยอันตรายถึงขั้นก่ออาชญากรรมได้ ดังนั้นวิธีเดียวที่จะช่วยทั้งคุณและเขาก็คือกระชากหน้ากากเขาซึ่งๆหน้า ให้เขาได้ละอายใจเสียบ้าง ความละอายแก่ใจนั่นละจะบั่นทอนไฟมานะที่อันตรายของเขาลงได้บ้าง ซึ่งตอนนี้ผมให้โอกาสเขาแล้ว โดยที่ไม่จับเขาส่งตำรวจแต่อย่างใด ทั้งเป็นการช่วยคุณไม่ให้เป็นเรื่องอื้อฉาว ที่เหลือจากนี้คือคุณต้องให้อภัยเขา และไปกล่าวบอกแก่เขาตามปะสาพี่น้องนั่นละที่จะเป็นการดีที่สุด”
“ผมแค่เสียความรู้สึกนิดหน่อยครับที่พี่ชายผมทำเช่นนี้ แต่พอเข้าใจเหตุผลเขาผมก็รู้สึกเห็นใจเขาอยู่บ้าง ผมต้องขอบคุณ คุณมากนะครับ คุณอาร์ แล้วผมจะไปปรับความเข้าใจกับเขาครับ”
“ดีแล้วครับ สำหรับวันนี้เรื่องของเราก็คงจบลงด้วยดี เช้านี้ทานข้าวร่วมกันสักมื้อที่นี่ก่อนจะกลับไปเถอะครับ เพราะผมคงไม่กลับไปกับคุณ ผมคงจะไปธุระของผมต่อนะครับ”
“อ่อ ต้องขอบคุณคุณอีกครับ ที่ทำเรื่องนี้ให้กระจ่างโดยเรื่องไม่อื้อฉาวใหญ่โตขอบคุณครับ”
หลังจากที่ขอบอกขอบใจกันเสียยกใหญ่นั้น เราก็ได้รับประทานอาหารเช้าร่วมกันมื้อหนึ่งก่อนข้าพเจ้าจะพักผ่อนเพื่อเตรียมเดินทางกลับลอนดอนตอนเย็นวันนี้ ส่วนหมอบีมได้ตามไปส่งพีเพื่อนของเขาถึงที่แล้วกลับมาที่โรงแรมอีกครั้งในตอนเย็น ก่อนจะพากันออกจากโรงแรมในตอนเย็นโดยรถแท็กซี่
วันนั้นหมอบีมนั่งรถแท็กซี่ไปส่งข้าพเจ้าที่สนามบิน เขาชวนข้าพเจ้าคุยระหว่างนั้น ซึ่งเป็นเรื่องของคู่หมั้นของคุณพีคนนี้ คือ คุณฟ้า ซึ่งคุณฟ้าเป็นเพื่อนของข้าพเจ้าดังที่เล่ามาแต่ต้นนั้น
“เพื่อนฉันเป็นไงบ้างละนายว่า”
“นายพีคนนี้นะหรือ ฉันว่าเขาเป็นคนขี้หวาดระแวงเกินไป บางทีก็ระมัดระวังตัวดี แต่พอร้อนรนก็ทำตัวไม่ถูกจนบางทีถึงกับประมาทไปเลยแล้วก็เป็นคนที่ยึดติดกับเวลาราวกับว่าทุกนาทีมีค่าเป็นเงินเป็นทอง จะทำอะไรต้องดูเวลาตลอดนั่นละเขา”
“แล้วเหมาะกับคุณฟ้าเพื่อนนายไหม”
“ฉันไม่สันทัดเรื่องพวกนี้เลยให้คำตอบที่ชัดเจนไม่ได้ อาจจะเหมาะหรือไม่เหมาะก็ได้ขึ้นอยู่กับว่าทั้งสองคนเขาเข้ากันได้หรือไม่อีกที”
“เหรอ ฉันได้ยินว่าสมัยนายเรียนมัธยมที่ประเทศไทย แม่ฟ้าคนนี้คือคนที่นายเคยจีบอย่างนั้นหรือ”
“โอ้ ใครกันกล่าวอย่างนั้น ปรักปรำกันน่าดู”
“ปรักปรำหรือ” หมอบีมยิ้มเยาะ “เรื่องจริงหรอก เจ้าตัวเขาเล่าเองตอนที่ไปส่งพีที่บ้านวันนี้”
“ฉันว่าอย่าพูดเรื่องนี้เลย”
“ช้ำใจหรือ”
“เปล่า”
“สีหน้าไม่สู้ดีนัก”
“ฉันแค่รู้สึกอากาศไม่ปลอดโปร่ง”
“กินแห้วมาละสิ”
“อุณหภูมิมันเท่าไหร่กัน”
“เธอปฏิเสธนายหรือตอนนั้น”
“หรือแท็กซี่ไม่ได้เปิดแอร์”
“ยอมรับมาเถอะน่า เรื่องอย่างนี้มันธรรมดาออก”
-- เราทั้งสองเงียบสักพัก --
“ฉันยอมรับว่า ฉันไม่สันทัดเรื่องผู้หญิงเลย” ข้าพเจ้าเอ่ยชี้แจงขึ้น
“เพราะงั้นนายเลยแห้วสินะ”
“ไม่หรอกเพื่อนยาก ฉันว่าเป็นโชคดีของฉัน หรือบางทีสิ่งศักดิสิทธิ์อาจช่วยฉันไว้จากเหวมฤตยูนั่นก็ได้”
“อ้างไปทั่ว”
“จริงๆนะหมอ ฉันว่าเพศผู้หญิงเป็นเพศที่อันตราย”
“แน่นอน อันตรายแน่ ถ้าเผลอไปมีใจให้นะ”
“กับพวกผู้ชายอย่างเราๆ เพศผู้หญิงทำให้ผู้ชายเสียการเสียงานมามากมายแล้วในอดีต” ข้าพเจ้าพูดให้หมอบีมเงียบได้ในที่สุดถึงแม้เขาจะแสดงสีหน้ายิ้มเยาะข้าพเจ้าบ้างก็ตาม “ยกตัวอย่าง พวกนางตัวร้ายที่หมู่ข้าศึกจะส่งไปป่วนในสมัยสงคราม เพื่อทำให้คนในกองทัพอีกฝ่ายหนึ่ง ที่เป็นพวกเดียวกันซึ่งร่วมรบกันมานาน ต้องแตกคอกันจนพ่ายแพ้ต่อข้าศึกนักต่อนัก
“ทั้งผู้หญิงมีมารยาร้อยเล่มเกวียน ที่จะหลอกล่อให้ผู้ชายไปหลงติดกับดัก ซึ่งลองใครหลงไปติดเข้าแล้วจะต้องทุกข์ใจไม่รู้จักจบจักสิ้น ถึงแม้ได้อยู่กินเป็นคู่ผัวตัวเมียกันแล้วก็ไม่พ้นต้องเบื่อกับพฤติกรรมเอาแต่ใจของพวกหล่อน จนผู้ชายอย่างเราๆต้องร้องให้ช้ำใจเพราะว่าเราแสดงออกไม่ได้ เนื่องจากถ้าแสดงออกมาเธอจะรับมือและรุกฆาตด้วยการแสดงความน้อยอกน้อยใจ แล้วผู้ชายอย่างเราก็ต้องยอมศิโรราบแต่โดยดี นั่นก็เพราะความสงสารที่เข้ามารุมเร้าเราอยู่นั่นเอง”
“อ่า นายมีมุมมองต่อผู้หญิงอย่างนี้นี่เองจึงจีบหญิงไม่ติด”
“อาจจะถูกของนายแต่อย่างไรก็เป็นความจริงอยู่ นายเองก็เถอะระวังตัวไว้บ้าง สักวันอาจโดนผู้หญิงคาบไปรับประทาน วันนั้นละอย่าร้องให้เสียใจก็แล้วกัน”
“อืม แล้วไว้ฉันจะกลับไปบอกนายว่าความเห็นของนายมันผิดมหันต์”
......
ข้าพเจ้าเห็นว่าควรจะจบไปได้แล้วละ เพราะเรื่องหลังจากนี้ก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว หากยังเขียนความยาวสาวความยืดถึงเรื่องผู้หญิงอยู่ ข้าพเจ้าคงต้องล้มป่วยลงเป็นแน่ อย่างไรก็ดีข้าพเจ้า ได้แสดงคดีที่ข้าพเจ้าได้ผ่านมาให้ท่านได้ทราบแล้วพอสมควร หลังจากข้าพเจ้ากลับไปถึงลอนดอนก็ได้บอกกับปีเตอร์ว่าคดีที่เกิดขึ้นนั้นมีอัญมณีมาเกี่ยวข้องอยู่จริง แต่ทว่ากลับไม่ใช่อัญมณีที่เราตามหามันเป็นสร้อยทับทิมทั่วๆไป ไม่ได้แปลกประหลาดพิสดารไปกว่าหินที่มนุษย์ตีค่ากันจนแพงลิบทั่วๆไปเลยสักเท่าไหร่
สำหรับปีเตอร์ได้บอกกับข้าพเจ้าว่าเขาก็ได้รับข่าวสารจากสายสืบที่ประเทศไทยเหมือนกัน ซึ่งตอนนี้สายสืบคนนี้ได้เข้าอยู่ในกลุ่มเดียวกับพวกของเคอย่างเปิดเผยแล้ว ปีเตอร์บอกว่าเคและพีชซื้อสร้อยทับทิมสีครามไว้ได้แต่ถูกปล้นโดยพวกมีอิทธิพลบางกลุ่ม ถึงอย่างไรก็ตามตำรวจไทยก็จับตัวสมุนเล็กๆที่พากันมาปล้นได้และพวกสมุนร้ายเหล่านั้นได้ทิ้งสร้อยไว้ระหว่างทางหลบหนี เคและพีชไปตามเก็บมาแล้ว แต่ล่าสุดเรื่องกลับแย่ลงไปอีกเพราะพวกผู้มีอิทธิพลเหล่านั้นได้แฝงตัวเข้ากับพวกตำรวจขโมยสร้อยไปได้เสียแล้ว ด้วยเหตุนี้ ซีเคได้ ติดต่อมาทางปีเตอร์ให้ส่งอุปกรณ์ไฮเทคชนิดใหม่ของหน่วยสืบราชการลับไปให้เขาซึ่งข้อมูลนี้เป็นความลับเกรงว่าจะแจ้งต่อท่านผู้อ่านผู้ทรงศักดิ์ไม่ได้ อย่างไรก็ตามตอนนี้พวกเขากำลังติดตามผู้มีอิทธิพลที่ขโมยสร้อยไปอย่างใกล้ชิด คงหาทางชิงคืนมาได้อย่างแน่นอน
สำหรับจดหมายเล่าคดีฉบับนี้ก็ได้เล่าความเป็นมาในคดีเกี่ยวกับสร้อยอัญมณีที่ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติการมา มันอาจไม่ใช่เรื่องที่ท่านอยากทราบอยากรู้สักเท่าไหร่แต่ข้าพเจ้าก็ต้องเขียนรายงานให้ชัดเจนทุกคดีที่เกี่ยวกับสร้อยเพื่อว่าจะได้ไม่มีอะไรตกหล่นไปได้ ก็หวังว่าคงจะเป็นที่พอใจแก่ท่าน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงขอกล่าวคำอำลาไว้ ณ ตรงนี้ และขอจบการบรรยายเสียทีสำหรับฉบับนี้ จนกว่าจะได้พบกันใหม่ฉบับหน้าด้วยความนับถืออย่างสูง -- บุรุษนิรนาม
ผลงานอื่นๆ ของ ศรีหเทพ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ศรีหเทพ
ความคิดเห็น